วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การแต่งกายสมัยรัตนโกสินทร์

การแต่งกายสมัยรัตนโกสินทร์

สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
รัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411 – 2453) ระยะ 42 ปี 

ใน พ.ศ. 2414 ได้ทรงปรับปรุงประเพณีการไว้ผม ให้ผู้ชายไทยเลิกไว้ผมทรงมหาดไทย เปลี่ยนเป็นไว้ผมยาวอย่างฝรั่ง ส่วนผู้หญิงให้เลิกไว้ผมปีก ให้ไว้ผมตัดยาวทรงดอกกระทุ่ม การเปลี่ยนแปลงการแต่งกายในสมัยรัชกาลที่ 5 สรุปได้ ดังนี้ 

ต้นสมัยรัชกาลที่ 5 
หญิง 
ผม
 เลิกไว้ผมปีก หันมาไว้ผมยาวประบ่า 

การแต่งกาย นุ่งผ้าลายโจงกระเบน เสื้อกระบอก ผ่าอก แขนยาว ห่มแพร จีบตามขวาง สไบเฉียงทาบบนเสื้ออีกชั้น หนึ่ง ถ้าอยู่บ้านห่มสไบไม่สวมเสื้อ เมื่อมีงานพิธีจึงนุ่งห่มตาด 

เครื่องประดับ สร้อยคอ สร้อยตัว สร้อยข้อมือ กำไล แหวน เข็มขัด 

ชาย 
ผม เลิกไว้ทรงมหาดไทย หันมาไว้ผมยาวทั้งศีรษะ ผมรองทรง 

การแต่งกาย นุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตน คือ เสื้อนอกกระดุม 5 เม็ด สวมหมวกหางนกยูง ถือไม้เท้า ไปงานพิธีจะสวมถุงเท้ารองเท้าด้วย หรือสวมเสื้อแพรสีตาม กระทรวงและหมวดเหล่า ตามชั้น เจ้านาย เสื้อแพรสีไพล ขุนนางกระทรวงมหาดไทย เสื้อแพรสี เขียวแก่ ขุนนางกระทรวงกลาโหม เสื้อแพรสีลูกหว้า ขุนนางกรมท่า (กระทรวงต่างประเทศ) เสื้อ แพรสีน้ำเงิน (ภายหลัง คือ สีกรมท่า) มหาดเล็ก เสื้อแพรสีเหล็ก พลเรือนจะใส่เสื้อปีกเป็นเสื้อคอ ปิดมีชายไม่ยาวมาก คาดเข็มขัดนอกเสื้อ
การแต่งกายสมัยต้นสมัยรัชกาลที่ 5 
 


http://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_costume/03_2.html : อ้างอิง

ต้นแปะตำปึง

ต้นแปะตำปึง

เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน มีโอกาสได้ไปเที่ยวทางภาคอีสานมาค่ะ ขากลับ พี่ๆพาแวะทานไก่ย่าง ส้มตำร้านอร่อย แถวๆอุดร เข้าไปในร้านทุกอย่างน่าทานไปหมดเลย โดยเฉพาะข้าวเหนียว ลาบ ส้มตำ ไก่ย่าง และที่ทำให้สะดุดมากๆคือ ผักที่ทางร้านนำมามาให้ทาน ไม่เคยเห้นมาก่อนค่ะ พี่ๆบอกว่ามันเป็นสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานได้ด้วย หูผึ่งเลยค่ะ เพราะถ้ามีสรรพคุณดีจริงๆอย่างว่า คงเป็นประโยชน์กับคนไข้ของเรามากๆเลย
แล้วก็อดไม่ได้ที่จะลองทานค่ะ อื่ม...อร่อยค่ะ รสชาดดี ไม่ฝาด มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ยิ่งทานกับลาบ ส้มตำ เข้ากั้น เข้ากันค่ะ เลยต้องบอกแม่ค้าว่าขอผักนี้อีกจาน ทางร้านก็ใจดีมากๆค่ะ ยกมาให้ 1 จาน แปะตำปึงล้วนๆ มื้อนั่น อร่อยดีมีประโยชน์ค่ะ แถมด้วย อิ่มจัง ตังก์อยู่ครบ ซะด้วย
พอมาถึงโคราช พี่เลยแวะไปเอาเจ้าต้นแปะตำปึง ใส่ถุงให้มาปลูกที่ปราณบุรีบ้านเรา พอมาถามเพื่อนๆไม่มีใครรู้จักเลยค่ะ เลยลองมาศึกษาหาข้อมูลเจ้าต้นนี้ดู สรรพคุณมากมายเกินคาดค่ะ อยากให้ลองอ่านกันดู เผื่อจะเป้นประโยชนืกันบ้าง สำหรับคนที่ทานผักง่าย คงจะบอกว่าอร่อย แน่นอนค่ะ
หอบหิ้วมาไกล กว่าจะได้เอาลงกระถาง ก้ปาเข้าไป2วัน จนยอดเหี่ยวเฉา ไม่รู้จะเป็นหรือตายค่ะ แต่พี่เค้าบอกว่ามันตายยาก ก้เอาใจช่วยให้มันฟื้นคืนชีพโดยเร็วค่ะ จะได้เก้บใบมาทานบ้าง
ชื่ออื่นๆ : แปะตำปึง หรือ จักรนารายณ์ สมุนไพรสรรพคุณครอบจักรวาล
ต้นกำเนิด : ต้นยานี้มาจากประเทศจีน บางท่านเรียกว่า จินฉี่เหมาเยี่ย เข้ามา
ในไทยพร้อมกับหญ้าปักกิ่งหรือหญ้าเทวดา แปะตำปึง ถูกตั้งชื่อเป็นไทยว่า
จักรนารายณ์ แต่มีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น กิมกอยมอเช่า หรือ ผักพันปี เป็นต้น
ลักษณะ : เป็นไม้พุ่มเตี้ย ลำต้นสีเขียว แตกกิ่งก้านอ่อน หักง่าย เมื่อโตเต็มที่ใน
ฤดูหนาว  จะออกดอกสีเหลืองมีก้านยาว มี 2 ชนิดคือ

1. ชนิดใบกลม (แปะตำปึง)ใบสีเขียวอ่อน ใบหนาเพราะมีขนหนานุ่มแบบกำมะหยี่ทั้งด้าน
บนและล่าง เส้นใบด้านบนลึกเช่นเดียวกับเส้นกลางใบแต่ด้านหลังใบกลับนูน กิ่งก้านออกเขียว
ปนแดง เปราะหักง่าย (รูปของแบบใบกลมครับ)

2. ชนิดใบยาว (จินฉี่เหมาเยี่ย) ใบค่อนข้างยาวกว่าแหลมกว่าและผิวใบค่อนข้างเรียบ
เพราะขนน้อยกว่าแบบใบกลม จับเทียบดูจะรู้สึกได้ชัด (รูปของแบบใบยาวครับ)

สรรพคุณ : สรรพคุณของทั้งสองมีเหมือนกัน มีรสเย็น ใช้ใบเป็นยา รสชาติคล้ายใบชมพู่
สาแหรก โรคที่(มีผู้รับรองว่า)สมุนไพรชนิดนี้รักษาหายแล้วได้แก่ เบาหวาน ความดันสูง
ภูมิแพ้ หอบหืด มะเร็ง งูสวัด เกาต์ ริดสีดวงทวารหนัก ขับนิ่ว แผลสะเก็ดเงิน แผลอักเสบ
พุพอง-ฝีหนอง ปวดประจำเดือน ปวดเส้น ปวดหลัง ไขมันในเลือด ไทรอยด์ ตาอักเสบ
ตาเป็นต้อ โรคตาต่างๆ ปวดเหงือก ปวดฟัน โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ โลหิตจาง
ฟอกเลือด ล้างสารพิษในร่างกาย ขับลม กินได้ นอนหลับ คนปกติทั่วไปกินแล้วสุขภาพ
แข็งแรง เรียกว่าเป็นสมุนไพรครอบจักรวาลเลยทีเดียว

การขยายพันธุ์ : หลังจากเด็ดใบมากินหมดแล้ว ให้ตัดกิ่งออกเป็นท่อนๆยาว 10-15 ซ.ม
. นำมาปักชำ ไว้ในที่รำไรและหมั่นรดน้ำเสมอๆ ประมาณ 7-10 วัน ก็จะแตกยอด-ออกราก
เป็นต้นใหม่ เมื่อโตเต็มที่จะออกดอกสีเหลือง แต่ไม่ติดเมล็ด (ของพ่อด้วงเคยติดเมล็ดนะแต่
เพาะไม่ขึ้น) ต้องปักชำกิ่งเท่านั้น พืชชนิดนี้ไม่ชอบร่มมากนัก ชอบดินร่วน ชอบแดดพอควร
ชอบน้ำ แต่อย่าให้มีที่รองน้ำก้นกระถาง รากจะเน่า

วิธีใช้ : เป็นพืชสมุนไพรครอบจักรวาลที่ไม่มีพิษภัย ใช้ใบสดๆ ล้างให้สะอาด ซับน้ำให้แห้ง นำมาเคี้ยวกินสดๆหรือใช้ประกอบอาหารกิน เช่นแกงจืดหรือผัดน้ำมัน หรือเป็นเครื่องเคียงกับ
ขนมจีน ส้มตำ สลัดผัก ฯลฯได้ หรือจะนำใบมาล้าง ผึ่งแห้ง นำมาบดหรือตำ คั้นเอาแต่น้ำนำไป
นึ่งให้สุก ปล่อยให้เย็น ใส่ขวด ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ได้นาน แต่ที่ได้ผลดีที่สุด คือกินใบสด ก่อนเข้า
นอน 3-5 ใบ

วิธีใช้เฉพาะโรค :
โรคเบาหวาน - กินใบสดๆ 2-5 ใบ ช่วงตี 5 -ถึง 7 โมงเช้าก่อนอาหาร เพราะลำไส้เริ่มทำงาน
จะได้ผลเร็ว และกินอีกครั้งหลังอาหารเย็น 2-3 ชั่วโมงหรือกินก่อนนอน กินเช่นนี้นาน 7 วัน
หยุดดูอาการ 2-3 วัน จึงกินต่อเพื่อน้ำตาลในเลือดจะได้ไม่ลดเร็วเกินไป (ขอเสริมตรงนี้นิดนึงว่า
ปริมาณการกินของแต่ละคนอาจไม่เท่ากันขึ้นกับขนาดของใบและน้ำหนักตัว จึงขอให้คนป่วย
เบาหวานทดลองกินจำนวนใบน้อยๆ ก่อนแล้วคอยดูอาการ เพราะเคยมีคนบอกว่าบางคนกิน
แล้วน้ำตาลลดแบบฮวบฮาบ ซึ่งไม่รู้ว่ากินเยอะไปหรืออย่างไรและบางคนบอกว่าใบยาวลดน้ำตาล
ได้มากกว่าแบบใบกลมด้วย และพืชชนิดนี้ยังไม่มีผลการวิจัยรองรับเป็นทางการ จึงควรใช้ด้วยการ
ระมัดระวังไว้ก่อนล่ะดี)

โรคตา - นำใบสดๆมาล้างให้สะอาด บด-โขลกในครกสะอาดๆ ให้แหลก แล้วนำมาพอกตาข้าง
ที่อักเสบหรือมัว นาน 30 นาที ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำ พอกเช้า-เย็น ตาจะดีขึ้นเร็วโรคความดัน
สูง-ต่ำ

มะเร็ง - ให้กินเป็นผัก เช่น จิ้มน้ำพริก ทุกวัน ถ้าเป็นมะเร็งกินก่อนนอน 5-7 ใบ ก่อนนอน ประมาณ
6 เดือน มะเร็งจะลดขนาดลง

งูสวัด - นำใบมาตำกับน้ำตาลทรายแดง เพื่อให้จับตัวเป็นก้อน ไม่หลุดง่าย พอกตรงรอยแผลไว้
30 นาที หรือใช้น้ำคั้นทาก็ได้

ริดสีดวงทวารหนัก - ตำใบสดแล้วใส่ในทวาร จะทำให้หายเร็ว ติ่งที่โผล่จะยุบ เลือดที่ออกจะหยุด
โรคกระเพาะ - ถ้าปวดท้องและเป็นโรคกระเพาะ ให้กินเดี๋ยวนั้น สักพักอาการปวดจะหายไป
ยังช่วยขับลมที่แน่นในท้องออกมาได้ด้วย

สิ่งที่ควรระวัง- อาหารแสลง เช่น กุ้ง เนื้อ ปลาหมึก ปู ปลาทู ปลาร้า หูฉลาม กะปิ ข้าวเหนียว
หน่อไม้ แตงกวา หัวผักกาด เผือก สาเก ของดอง แอลกอฮอล์ ชา-กาแฟ ควรงด แต่หากจำเป็น
ต้องกิน ขอให้กินแปะตำปึง ก่อนหรือหลัง 2 ชั่วโมง

การปลูกใช้เอง ไม่ควรใช้ยาฆ่าแมลง หรือถ้ามีการใช้ปุ๋ย ควรทิ้งไว้อย่างน้อย 1 อาทิตย์ก่อนเก็บใบ
มาใช้ และควรล้างให้สะอาดๆก่อนนำมาใช้ โดยเฉพาะการพอกตา)


ข้อมูลจาก นสพ.เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 28 มกราคม 2548
โดยทอม แม่โจ้ และผู้มีประสบการณ์ในการใช้

ที่มาข้อมูล : http://www.pamame.com/magazine.html
และขอขอบคุณ : พี่ณรงค์ เจ้าของโรงงานไอศรีม ธาราทิพย์ โคราช เป็นอย่างสูงที่ช่วยให้ข้อมูลและเป็นแรงบันดาลใจให้อยากทานพืชผักสมุนไพรเพิ่มขึ้น

http://www.oknation.net/blog/owner/2009/06/21/entry-1 : อ้างอิง

เหรียญบาทหนึ่ง รัชกาลที่ ๕ หลังตราแผ่นดิน กรุงสยาม


เหรียญบาทหนึ่ง รัชกาลที่ ๕ หลังตราแผ่นดิน กรุงสยาม


รูปภาพอื่นๆ
    
เหรียญบาทหนึ่ง รัชกาลที่ ๕ หลังตราแผ่นดิน กรุงสยาม


เหรียญ \\\"บาทหนึ่ง\\\" พระบรมรูปรัชกาลที่ ๕ หลังตราแผ่นดินเต็ม กรุงสยาม ( สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ) 
โลหะส่วนผสม : เงิน ๙๐ ทองแดง : ๑๐
น้ำหนัก : ๑๕ กรัม. เส้นผ่าศูนย์กลาง : ๓๑ มม.
ผลิตใช้ครั้งแรก ร.ศ.๙๕ ไม่มีข้อความบอกปีร.ศ.ที่ผลิต
มาจนถึงปีร.ศ.๑๒๐ เพิ่มข้อความบอกปีร.ศ.ผลิตที่ริมขอบล่างของเหรียญ
ร.ศ.๑๒๐,ร.ศ.๑๒๑,ร.ศ.๑๒๒,ร.ศ.๑๒๓,ร.ศ.๑๒๔,ร.ศ.๑๒๕,ร.ศ.๑๒๖
ลักษณะเหรียญมีภาพพระบรมรูปรัชกาลที่ ๕ ด้านหน้าเหรียญ มีคำว่า \\\"สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว\\\"
ปรากฏบนเหรียญ
ด้านหลังเหรียญมีตราแผ่นดิน มีคำว่า \\\"กรุงสยาม\\\" และ คำว่า \\\"รัชกาลที่ ๕\\\" และมีคำว่า \\\"บาทหนึ่ง\\\" ปรากฏบนเหรียญ

ลักษณะของเหรียญเงินบาทหนึ่ง

ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปรัชกาลที่ ๕ ครึ่งพระองค์ ผินพระพักตร์ไปทางซ้ายของเหรียญ ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารมีเครื่่องราชอิสริยยศนพรัตนราชวราภรณ์และพระจุลจอมเกล้า มีอักษรอยู่รอบพระบรมรูปว่า \"สมเด็จพระปรมินทร มหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว\"

ด้านหลังมีตราแผ่นดินแบบเต็ม แบ่งออกเป็น ๓ ห้อง ห้องบนเป็นช้างไอยราพรต ห้องซ้ายเป็นรูปช้างยืน ห้องขวาเป็นรูปกริชไขว้ ด้านบนของห้องเป็นจักรตรี มีพระมหาพิชัยมงกุฏครอบอยู่ นอกจากนี้ยังมีพระแสงขรรค์ ธารพระกร ฉลองพระบาท พระสังวาลนพรัตนราชวราภรณ์ พระสังวาลจุลจอมเกล้า และมีแถบจารึกอักษรสำหรับดวงตราว่า \"สพฺเพสํ สงฺฆ ภูตานํ สามคฺคี วุฑฒิสาธิกา

หมายเหตุ พระบรมรูปสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ ๕) เป็นพระบรมรูปพระพักตร์ทรงหน้าหนุ่ม



http://www.velamall.com/classifieds/view.php?id=125242 : อ้างอิง

รวมแฟชั่นชุดไทยหลากสไตล์


รวมแฟชั่นชุดไทยหลากสไตล์

รวมแฟชั่นชุดไทยหลากสไตล์


รวมแฟชั่นชุดไทยหลากสไตล์

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Bride International
          เชื่อว่ากว่าที่เจ้าสาวจะเลือก "ชุดไทยแต่งงาน" สำหรับสวมใส่ในพิธีแต่งงานช่วงเช้า อาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะเดี๋ยวนี้มีชุดไทยแต่งงานให้เลือกสรรมากมาย ทั้งชุดไทยบรมพิมาน, ชุดไทยจักรี, ชุดไทยดุสิต และชุดไทยจักรพรรดิ รวมถึงชุดไทยประยุกต์ต่าง ๆ ที่มักจะนำเอาชุดไทยแต่ละแบบมาเรียบเรียงและประยุกต์ให้เข้ากับเทรนด์ในปัจจุบัน เช่น ชุดไทยจักรพรรดิ์ประยุกต์, ชุดไทยจักรีประยุกต์ ชุดไทยดุสิตประยุกต์ และชุดไทยบรมพิมานประยุกต์ เป็นต้น อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะทำทรงผมแบบไหนถึงจะเข้ากับชุดไทยแต่งงานที่จะเลือก
          ดังนั้น วันนี้กระปุกเวดดิ้งเลยขอนำเอาแฟชั่นชุดไทยแต่งงานหลากสไตล์ โดยเฉพาะชุดไทยร่วมสมัยและชุดไทยประยุกต์ พร้อมทรงผมชุดไทยงาม ๆ จากนิตยสาร Bride ของห้องเสื้อ lluk Wedding Studio และ Smile in Love Wedding Studio มาฝากกันค่ะ 

รวมแฟชั่นชุดไทยหลากสไตล์

รวมแฟชั่นชุดไทยหลากสไตล์


http://wedding.kapook.com/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-37822.html : อ้างอิง

โคอาล่า

โคอาล่า
  • ชื่อทางวิทยาศาสตร์ :Pascolarctos cinereus 
  • ลักษณะทั่วไป :- 
  • ถิ่นอาศัย, อาหาร :- 
  • พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ :- 
  • สถานภาพปัจจุบัน :- 

Related Video

Image Gallery

10 อาหารขยะที่อันตรายที่สุดในโลก


1.แฮมเบอเกอร์
 
     แฮมเบอร์เกอร์ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย  อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ

2.ฮอทด็อก
 

ฮอทด็อกทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100%

3.เฟรนช์ฟราย
 
เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท

4.โอริโอ้ คุกกี้
 
ที่เด่นชัดมากก็คือ ส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว  
ช็อกโกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก 
น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น

5.พิซซ่า
 
พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 5 ชนิด 
-. เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้น 
-. แป้งที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไปใหม่
-ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน 
-แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 
-มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้

6.น้ำอัดลม
 

สารตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วันกรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้

7.ชิ้นไก่เนี้อนุ่มไม่มีกระดูก
 
ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆการรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมันมีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะ

8.ไอศครีม
 
มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

9.โดนัท
 
โดยเฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน  มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้
 

 
10.โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยว 
การทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท  กินมันฝรั่งทอดเพียงวันละ 1 ถุง เท่ากับซดน้ำมันพืชปีละ 5 ลิตร
http://nojunkfood.exteen.com/page-6 : อ้างอิง

กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด

กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด


สุขบัญญัติข้อ 4 : กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตรายและหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด  สีฉูดฉาด
  
      อาหารเป็นปัจจัยที่สำคัญในการกำหนดสภาวะสุขภาพของคน ดังนั้นการทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ อย่างเพียงพอและเหมาะสม จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงการทานอาหารที่มีสารปนเปื้อนทานไม่ถูกหลักโภชนาการหรือทานอาหารมากไปก็จะก่อให้เกิดโรคตามมามากมาย

       การทานอาหารเพื่อสุขภาพดี  ควรทานอาหารที่สุกสะอาดอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆโดยหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่สุกๆดิบๆ  ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่   แต่ละหมู่ให้มีความหลากหลาย   ในปริมาณที่พอเหมาะ ให้มีความเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย  ทานพืชผักให้มาก   ทานผลไม้เป็นประจำ โดยทานอย่างน้อยวันละครึ่งกิโลกรัม หรือทานผักครึ่งหนึ่ง  อย่างอื่นอีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งผักผลไม้นั้นมีเส้นใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ  และสารอาหารหลายชนิด ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  ช่วยให้ขับถ่ายได้ดี   ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค  ซึ่งช่วยป้องกันโรค และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง 
โรคความดันโลหิตสูง  โรคหัวใจและหลอดเลือด

images.jpg

    การหลีกเลี่ยงการทานอาหารรสจัด ลดอาหารที่มีไขมัน  และมีโคเรสโตรอลสูง    ได้แก่อาหารทอด   ผัด  เนื้อสัตว์ติดมัน  เครื่องในสัตว์  อาหารทะเล  เป็นต้น งดอาหารที่มีรสจัด  เค็มจัด  หวานจัด   ทานอาหารให้ถูกโภชนาการทุกวัน

       การกินอาหารหวานมากทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน  โรคหัวใจ  โรคเบาหวาน   การกินเค็มมาก  เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง  

       นอกจากนี้ก็ไม่ควรทานอาหารที่หมัก ดอง  อาหารที่ใส่สีฉูดฉาด เช่น ขนมต่างๆเพราะมีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย   ควรดื่มนมเป็นประจำ  จะช่วยให้กระดูก และฟันแข็งแรง เด็กควรดื่มนมวันละ  2-3 แก้ว   ผู้ใหญ่ควรดื่มนมพร่้องมันเนย วันละ1-2 แก้ว  ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ  8  แก้ว 

             
images.jpg

 
                  

 หลักในการซื้ออาหารที่ปลอดภัย 
โดยคำนึงถึงหลัก 3 ป  คือ  ประโยชน์ ปลอดภัยและ ประหยัด  การปรุงอาหารให้ถูกสุขลักษณะโดยคำนึงถึงหลัก 3 ส  คือ สงวนคุณค่าสุกเสมอ  และสะอาดปลอดภัย   ทานอาหารที่มีการจัดเตรียม  การประกอบอาหาร และ ใส่ภาชนะที่สะอาด   ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่  รวมทั้งใช้ช้อนกลางในการทานอาหารร่วมกันกับผู้อื่นทานอาหารให้เป็นเวลา  
      การทานอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม จะทำให้ไม่เกิดโรค   หากทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง
จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน  ความดันโลหิตสูง  หลอดเลือด สมอง  มะเร็ง
พยาธิ   อุจจาระร่วง  ได้


***
 การทานอาหารที่ถููููกหลักโภชนาการ จะทำ  

       ให้มีสุขภาพที่ดี และแข็งแรง***
                                              
                                   
 ..................................


อาหารที่มีสีฉูดฉาด   สีผสมอาหารแบบต่างๆ

      ยุคสมัยนี้อาหารใส่สีมีให้เห็นมากมาย เกลื่อนกลาดเลยก็ว่าได้  ผู้ผลิตหรือคนขายใส่สีลงไป  โดยคาดหวังว่า ทำให้อาหารและเครื่องดื่มมีสีสวยงาม   จะเป็นที่ดึงดูดผู้บริโภคเป็นอย่างดี  โดยเฉพาะเด็กๆ  ซึ่งจะช่วยให้ขายดีมีกำไรมาก 
     
 อีกเหตุผลที่ผู้ผลิตใส่สีผสมลงไป เช่น  เติมลงไปในนมผง  เนื่องจากนมวัวในฤดูร้อนมีสีเหลืองเข้มกว่านมในฤดูหนาว เนื่องมาจากปริมาณเบตาคาโรทีนในหญ้าที่วัวกินเข้าไปในฤดูร้อนมากกว่าฤดูหนาว  บริษัทผู้ผลิตจึงใช้สีผสมอาหาร แต่งสีนมเพื่อให้อาหารที่ผลิตออกมามีสีคงที่ตามมาตรฐานที่ตนเองต้องการ อาจหวังประโยชน์  คือ  ไม่ให้ผู้ซื้อเกิดความเข้าใจผิดว่าสีของนมที่ซีดไปทำให้คุณภาพของนมลดลงไปด้วยและบางคนก็ใส่สีเพื่อกลบเกลื่อนความไม่น่ามองของอาหาร เช่น เบียร์   วิสกี้  อาหารกรอบ  เมื่อผ่านกระบวนการจะมีสีที่ไม่สวยงามก็จะเติมสีลงไป  รวมทั้งการแต่งสีเพื่อช่วยให้ดูคล้ยอาหารที่มีคุณภาพสูง เช่น อาหารที่ใช้ไข่เป็นส่วนผสม  ปรากฏว่าในการผลิตจริงใช้ไข่เพียงเล็กน้อย    ฟรือไม่ได้ใ่ส่เลย   แต่ใช้สีเหลือง  ผสมลงไปเป็นสีของไข่ 
สีผสมอาหารที่ใช้ถูกกฏหมาย

      สีผสมอาหารที่ใช้ถูกกฏหมาย  คือ  สีผสมอาหารชนิดสังเคราะห์ หาซื้อได้ตามร้านค้า  และ ซูเปอร์มาเก็ตทั่วไป  กฏหมายกำหนดให้้ใช้สีสังเคราัะห์์สำหรับผสมอาหารได้ ในปริมาณที่กำหนดรายละเอียดของแต่ละสี  เช่น  ปริมาณสีที่ใช้ที่อนุญาตให้ใช้ผสมอาหารและ เครื่องดื่ม  ไอศกรีม  ลูกกวาด  และขนมหวาน  มีดังนี้
สีที่ใช้ได้ไม่เกิน 70  มิลลิกรัม   ต่ออาหารในลักษณะที่ใช้บริโภค   1  กิโลกรัมได้แก่

สีแดง   คือ   เอโซรูบีน  และ  เออริโทซิน

สีเหลือง   คือ   ตาร์ตราซีน   ซันเซตเยลโลว์   และ เอฟซีเอฟ

สีเขียว   คือ   ฟาสต์กรีน  และ  เอฟซีเอฟ

สีน้ำเงิน คือ   อินดิโกคาร์มีน  หรือ อินดิโกติน

สีที่ใช้ได้ปริมาณไม่เกิน  50 มิลลิกรัม   ต่ออาหารลักษณะที่ใช้  1  กิโลกรัม

สีแดง   คือ   ปองโซ  4  อาร์

สีน้ำเงิน  คือ   บริลเลียนบลูล์เอฟซีเอฟ


     ทั้งนี้ผู้ผลิต หรือผู้จำหน่าย  ควรใช้ในปริมาณที่กำหนด  หากต้องการสีสันอื่นๆ  ก็สามารถนำแม่สีที่อยู่ในอัตราสีต่างๆมาผสมกัน จะได้สีหลากหลายมากขึ้น  โดยต้องมีปริมาณของสีทุกชนิดไม่เกินปริมาณของสีที่กำหนดให้ใช้สีผสมอาหารที่ได้จากธรรมชาติที่ใช้บริโภคได้บ่อยๆ โดยไม่เกิดอันตราย  เช่น
สีแดง ได้จาก ครั่ง (ใช้รังครั่งใหม่ๆ)  กระเจี๊ยบ (กลีบเลี้ยงหุ้มฝัก)   ดอกเข็ม  มะเขือเทศสุก  มะละกอ  อั้กคั่ก หรือ  ข้าวแดง  หัวบีท  ฝาง (ใช้เนื้อไม่หรือแก่นให้สีแดง) พริกแดง   ถั่วแดง   และเมล็ดผักปรัง 
สีเหลือง ได้จาก  ขมิ้น  (ทั้งขมิ้นชันและขมิ้นอ้อย)   ลูกพุด  ลูกตาลสุก  ฟักทอง   หัวแครอท   ดอกคำฝอย   เมล็ดคำแสน (เรียกว่าคำไทหรือคำเงาะ)  ไข่แดง  ดอกโสน  และดอกกรรณิการ์

สีเขียว    ได้จาก   ใบเตย  ใบญ่านาง  ผักชี  ใบตะไคร้  และ พริกเขียว

สีน้ำเงิน    ได้จาก   ดอกอัญชัญ
สีม่วง  ได้จาก    ลูกหว้า  ใบสาวดำ   มันเลือดนก   ดอกอัญชัญผสมน้ำมะนาว  และ   ข้าวเหนียวดำ

สีน้ำตาล   ได้จาก   น้ำตาลเคี่ยวไหม้   (คาราเมล: caramal)   และ  โกโก้ผง
สีดำ   ได้จาก  ใบยอ   ใบคนทีสอ  ถ่า่น  กาบหรือกะลามะพร้าวเผาไฟ   หรือใบจาก  หรือใบตาลเผาไฟ   ถั่วดำ  และดอกดิน
อาหารที่ห้ามใส่สี
    
      อาหารที่ห้ามใส่สีผสมอาหารทุกชนิด  ไม่ว่าจะเป็นสีจากธรรมชาติ  หรือสีสังเคราะห์
ตามฉบับที่  66  (พ.ศ.2525)  ดังนี้

อาหารสำหรับทารกทุกชนิด   นมดัดแปลงสำหรับทารก   อาหารเสริมสำหรับเด็ก     ทอดมัน  กะปิ  ข้าวเกรียบ   แหนม   กุนเชียง  ไส้กรอก   ลูกชิ้น  หมูยอ   ผลไม้ดอง   ผลไม้สด   ผักดอง   เนื้อสัตว์ทุกชนิดที่ปรุงแต่งทำให้เค็มหรือหวาน   เนื้อสัตว์ทุกชนิดที่ปรุงแต่งรมควัน  ทำให้แห้ง    เนื้อสัตว์ทุกชนิดไม่ให้ใช้สีทุกชนิด  ยกเว้นขมิ้นผง   หรือ
ผงกะหรี่สำหรับไก่เท่านั้น อาหารที่ใม่ได้เฉพาะสีธรรมชาติ คือ  เนื้อสัตว์ทุกชนิดที่ย่าง  อบ  นึ่ง  ทอด      บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป     เส้นบะหมี่     แผ่นเกี๊ยว    หมี่ซั่ว    สปาเก็ตตี  
มักกะโรนี   น้ำพริกแกง 


อาหารที่ตรวจพบบ่อยว่าใส่สีต้องห้าม

โดยผู้ผลิตมีการใส่สีผสมอาหารในปริมาณที่มากเกินไป  บางครั้งก็ตรวจพบว่าใส่สีย้อมผ้า   กุ้งแห้งที่พบว่ามีสีแดง  หรือ สีส้มเข้ม โดยเฉพาะกุ้งฝอย มักพบว่าผสมสีย้อมผ้า

เต้าหู้แข็งเคลือบสีเหลืองและประทับตรา     แผ่นเกี๊ยว    พริกป่น   กะปิ   ซอสเย็นตาโฟ
ผลไม้ดองหรือผลไม่แช่อิ่ม    ขนมหวานสีสดใส   เช่น    มะพร้าวแก้ว   น้ำหวานสีส้ม  ท็อฟฟี่  ลูกอม  โดยเฉพาะที่มาจากประเทศจีน 


อันตรายจากสีผสมอาหาร

อันตรายมักเกิดจากอาหารนั้นใส่สีเกินกำหนด หรือใส่สีย้อมผ้า  หรือสีย้อมกระดาษ    ซึ่่งสีทั้ง  2  ชนิด  มีโลหะหนักผสมอยู่  จำพวกตะกั่ว  ปรอท  สารหนู   สังกะสี  โครเมียม  ปะปนอยู่    โดยสีย้อมผ้ามีปริมาณโลหะหนัก หรือสารพิษอยู่มากกว่า  ซึ่งทำให้เกิดผลต่อร่างกาย   ดังนี้ 

พิษตะกั่ว  ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย  เบื่อาหาร  ปวดศีรษะ  โลหิตจาง  ถ้าสะสมตะกั่วมากขึ้นเป็นเวลานาน  จะมีสีของเส้นตะกั่ว สีม่วงคล้ำที่เหงือก แขน ขาไม่มีแรง  มือตก  เท้าตก  และมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท

พิษปรอท  ทำให้มีอาการคลื่นไส้   ท้องเดิน  ปวดท้องมวนรุนแรง  ถ้าสะสมเรื้อรังเหงือกจะบวมแดงคล้ำ  อ่อนเพลีย

สารหนู   จะเกิดพิษต่อระบบทางเดินอาหาร  อ่อนเพลีย  กล้ามเนื้ออ่อนเพลีย  โลหิตจาง   ตับอักเสบ   หัวใจวาย

พิษโครเมียม ทำให้เวียนศีรษะ  กระหายน้ำรุนแรง  อาเจียน ไตอักเสบ ปัสสาวะเป็นพิษ

ตัวอย่างสีที่ทำให้เกิดพิษ 

สีพวกโรห์ตามีน  บี  สีเอารามีน และ มาลาไคท์  กรีน และ ไวโอเลต บีเอ็นพี 

สีตาร์ตราซีน (สีเหลือง)  ถ้าหากรับประทานเกิน   7.8   มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมสีจะไปเคลือบกระเพาะอาหาร  และลำไส้    ทำให้การดูดซึมอาหารเสื่อมสมรรถภาพ
        สำหรับสีซันเซตเยลโล่ว์ืื  และ เอฟซีเอฟ   (สีเหลือง)  ถ้ารับประทานเกิน   5  มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว  1  กิโลกรัม   จะทำให้ท้องเดิน  และน้ำหนักลด
 าจทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนัง   หน้าบวม   อาเจียน  ท้องเดิน  อาการชา  เพลีย  และอ่อนแรงคล้ายอัมพาต   อาจรบกวนการทำงานของตับและไต
..................................

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
เหล้า
       มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ  เมื่อเข้าไปในรา่งกายจำนวนเล็กน้อย จะกระตุ้นหัวใจให้มีการทำงานมากขึ้น หลอดเลือดจะขยายตัว การไหลเวียนเลือดแรงขึ้น  และมีฤทธิ์กดสมอง ส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพเฉพาะคน  ผู้ดื่มจะรู้สึกอบอุ่น   คึกคัก   ระงับความตื่่นเต้น และมีความกล้ามากขึ้น  แต่เมื่อดื่มต่ิไปมากขึ้น     แอลกอฮอล์จะกดสมองส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว  และการเห็นภาพ   การประสานงานของร่างกายต่ำลง   ถ้าดื่มต่อจะกดสมองส่วนความรู้สึก    ศูนย์ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย    ทำให้หมดสติ  และถึงแก่ชีวิตได้

       นอกจากนี้คนติดเหล้ามักจะเป็นโรคขาดสารอาหารได้   การดื่่มไม่หยุดยั้งทำให้ตับเสื่อม  เมื่อตับเสื่อมก็จะไม่สามารถขับสารพิษออกจากเลือดไว้ได้หมด  ทำให้ตับแข็ง   ซึ่งเซลล์ตับไม่อาจทำงานได้ตามปกติ
อาหารไขมันสูง

     การกินอาหารทอด อาหารมันเป็นประจำ  จะทำให้ได้ไขมันจำนวนมาก    ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่ิอ  หลอดเลือดแดง   ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี  ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหัวใจ และ มะเร็ง

อาหารหวานจัด

     การกินอาหารที่มีน้ำตาลทราย   มีผลเสียหลายอย่างเริ่มตั้งแต่น้ำตาลไม่มีสารสำหรับเมตาโบลิสม์  จึงต้องดึงเอาสารอาหารอื่นในเลือดมาเผาผลาญตัวเอง   นอกจากนี้ยังเป็นเหตุของโรคต่างๆหลายโรค   เช่น   ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ    เบาหวาน   ความดันเลือดสูง   เป็นต้น

อาหารสำเร็จรูป


     เนื่องจากคุณค่าทางอาหารในอาหารสำเร็จรูปถูกทำลายไปจนหมดสิ้น   หรือระหว่างกระบวนการผลิิต   สารอาหารจะถูกสกัดออก แล้วเติมเข้าไปใหม่ในอัตราส่วนผิดธรรมชาติ  ทำให้สมดุลของอาหารส่วนต่างๆ  ถูกทำลายไป

อาหารซึ่งมีสารเคมีเป็นส่วนผสม

     สารผสมอาหารเป็นสารที่ไม่มีคุณค่าแต่อย่างไร    แล้วยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพอีก


แป้งที่ถูกขัดสีและป่นจนละเอียดขาว

     เป็นอาหรที่ขาดเส้นใยทางธรรมชาติ    อีกทั้งวิตามินและเกลือแร่ยังขาดหายไป

เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนผสม

     เช่น  น้ำอัดลมประเภทน้ำดำ   ชา  กาแฟ   เป็นต้น   โดยคาเฟอีนมีปฏิกิริยากับสมอง และ ระบบประสาท    มีผลกระทบต่อส่วนต่างๆของร่างกายแตกต่างกัน  เป็นเหตุให้เกิดอาการทางประสาท   กระวน กระวาย  หงุดหงิดง่าย  ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญในร่างกาย   มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ

     สำหรับกาแฟนั้น  แม้จะมีชนิดสกัดคาเฟอีนหมดแล้วก้ตาม   แต่ก็มีอันตรายอยู่  เนื่องจากกระบวนการ  การสกัดคาเฟอีนออกทำให้เกิดสารอื่นขึ้นมาและอาจเป็นอันตรายต่อเมลาโบลิสม์ในร่างกาย

     ส่วนในชานั้น มีคาเฟอีนอยู่ก็จริง  แต่น้อยกว่ากาแฟ   แต่มีสารแทนนินซึ่งขัดขวางการดูดซึมของเกลือแร่  และวิตามิน  การเติมมะนาวหรือนมลงไปในน้ำชา   อาจจะลดแทนนินลงไปได้

     ถ้าหากอยากดื่มชาจริงๆตามหลักของแมคโครไบโอติคส์  แนะนำให้ดื่มชา  ที่ทำจากก้านใบชา  หรือ เครื่องดื่มที่ทำจากข้าว  หรืออาจใช้ชาสมุนไพรก็ได้

Meal5.gif


แหล่งค้นคว้า :

  http://www.healthcorners.com/new_read_healthtips.php?id=777
  http://  healthyu.pn.psu.ac.th/healthyu/content
  http://bangkok-guide.z-xxl.com/?p=483 
 
http://rnpong.tripod.com/badfood.htm